ราคาเหล็กกล่อง GI

เหล็กกล่องเหลี่ยม GI หรือ เหล็กกล่องเหลี่ยมแบบกัลวาไนซ์ คือการบวนการที่นำเหล็กมาผสมกับสังกะสี หรือซิงค์ (Zinc: Zn) โดยที่มีความบาง ไม่เกิน 15 ไมครอน ซึ่งบางมาก มีน้ำหนักเบา ป้องกันสนิมได้ดี ขึ้นรูปทรงต่าง ๆ ได้ตามต้องการ เหล็กกล่องแบบ GI นิยมใช้ในงานก่อสร้างภายในอาคาร หรืองานโครงสร้างที่รับน้ำหนักไม่เยอะ อาจจะทำเป็นคาน แปหลังคา บางทีก็เป็นที่นิยมนำมาเป็นเฟอร์นิเจอร์อีกด้วย การขึ้นรูปของเหล็กกล่อง GI นั้นเหมือนกับเหล็กรูปพรรณ ที่มีลักษณะเป็นท่อสี่เหลี้ยมจัตุรัส นอกจากนี้ ราคาเหล็กกล่อง ยังไม่แพงอีกด้วย

เหล็ก GI CA และ GA

คุณสมบัติ ข้อดี และข้อเสีย

การนำไปใช้งาน

ราคาเหล็กกล่อง

เหล็ก GI  CA และ GA ราคาเหล็กกล่อง ที่ไม่เท่ากัน

เหล็ก GI คือเหล็กที่ผ่านการชุบสังกะสี โดยโรงงานผลิตจะเรียกกันว่า “เหล็กGI” จากนั้นจึงนำมาขึ้นรูปเป็นรูปทรงต่าง ๆ ทั้งแป๊บเหลี่ยม แป๊บแบน ท่อกลม เหล็กซี เป็นต้น

เหล็ก CA คือเหล็กธรรมดาทั่วไป มีสีดำ โดยโรงงานที่ผลิตจะเรียกกันว่า “เหล็กCA”  จากนั้นจึงนำมาขึ้นรูปเป็นรูปทรงต่าง ๆ เหมือนกับเหล็กGI ทุกประการ

ความแตกต่างคือ เหล็ก GI จะเบากว่า และทนสนิมได้มากกว่า ทำให้ ราคาเหล็กกล่อง แบบกัลวาไนซ์ มีราคาที่สูงกว่า

เหล็ก GA เหมือนกับเหล็ก GI ทุกประการ แต่จะต่างกันตรงที่ เหล็ก GA ไม่ได้ผลิตภายใต้มาตรฐานอุตสาหกรรม (เหล็ก GI ได้รับ มอก. 50-2561) โดยที่เหล็ก GA ชุบสังกะสีตามรูปแบบงานที่จะนำไปใช้ สีไม่เงา ซึ่งทำให้ทาสีติดง่าย

หาดูเหล็กรูปพรรณ คลิกที่นี่
ติดต่อซื้อวัสดุก่อสร้าง ง่าย ๆ แอด LINE มาสิ @273oyqga

คุณสมบัติ ข้อดี และข้อเสียของเหล็กกล่องแบบกัลวาไนซ์ (GI)

คุณสมบัติ

– ใช้งานง่าย ลดขั้นตอน และประหยัดเวลา กว่า เหล็กดำธรรมดา เพราะ เหล็กกล่องเหลี่ยมGI ไม่ต้องทาสี

– ความแข็งแรงของ เหล็กกล่องเหลี่ยมGI ทนต่อการกัดกร่อนของสนิม กว่า เหล็กดำธรรมดา เพราะ วัตถุดิบมีการชุบสังกะสี

– น้ำหนักเบา กว่า เหล็กดำธรรมดา

ข้อดีของเหล็กกล่องเหลี่ยมGI

– ช่วยประหยัดค่าสีกันสนิม เพราะเหล็กกล่องเหลี่ยมGI มีส่วนผสมของสังกะสีป้องกันสนิมเรียบร้อยแล้วจากโรงงานผลิต

– ช่วยประหยัดเวลาและค่าแรงคนงานในการทาสีกันสนิมทำให้ลดระยะเวลาในการก่อสร้างและติตตั้ง

– ช่วยประหยัดในระยะยาว เนื่องจากอายุการใช้งานยาวนานกว่า 20 ปี และไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษามาก

– สะดวกในการกองเก็บวัสดุ ไม่ต้องกลัวสนิม

– ราคาประหยัดกว่า HOT DIP GALVANIZED

ข้อเสียของเหล็กกล่องเหลี่ยมGI

– บางตัวไม่สามารถเข้าร่วมงานประมูลราชการได้ เนื่องจากเป็นเหล็กที่ไม่มี มาตรฐาน มอก . รับรอง

– ไม่เหมาะกับโครงสร้างหนักและมีความดันมาก

การนำเหล็กกล่องเหลี่ยมGI ไปใช้งาน

เหล็กกล่อง GI จะมีส่วนประกอบหลักเป็นสังกะสี โดยส่วนใหญ่หลัก ๆ มักจะนำเหล็กชนิดนี้ไปใช้ในการทำโครงสร้างแนวสูงเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น เสารับน้ำหนักโครงสร้างเพื่อทดแทนหรือลดการใช้ไม้ กับคอนกรีต การนำมาใช้กับส่วนโครงหลังคาแทนการใช้เหล็กตัวซี หรือการใช้ในงานรับน้ำหนักโครงสร้าง เช่น แปหลังคา สะพาน เสา นั่งร้าน

เหล็กกล่องสังกะสีมีความโปร่ง จึงอาจจะรับน้ำหนักได้ไม่มาก การใช้เหล็กท่อสี่เหลี่ยมสังกะสีในโครงสร้างการต่อเติม โดยการนำเหล็กท่อสี่เหลี่ยมสังกะสีมาใช้แทนงานไม้ ซึ่งสามารถทำได้ ซึ่งมีข้อได้เปรียบงาน คือ ดูแลง่ายกว่า ตัวอย่างโครงสร้างการต่อเติมที่นำเหล็กท่อสี่เหลี่ยมสังกะสีมาใช้ เช่น การต่อเติมเสา ต่อเติมระแนง ต่อเติมระเบียงบ้าน ต่อเติมรั่วประตู หรือใช้งานแทนเหล็กโครงสร้างต่อเติมอื่นๆ ตามความเหมาะสม

เหล็ก GI ที่นิยมนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย คือ

  1. การชุบเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน (hot dip galvanizing) หรือ HDG
  2. การเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า (electro galvanizing)
  3. การชุบเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนด้วยกระบวนการต่อเนื่อง (continuous hot-dip galvanizing)

เนื่องจากกระบวนการผลิตเหล็ก GI 3 ประเภทนี้ สามารถนำมาใช้งานได้เลย สะดวกต่อการใช้งาน และมีสินค้าสำเร็จรูปวางจำหน่าย ดังนั้นบทความนี้จะให้สาระความรู้ไปที่กระบวนการผลิตเหล็กGI 3 ประเภทแรก

  1. การชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน

การนำชิ้นงานที่ผ่านการทำความสะอาดผิวหน้ามาดีแล้ว และต้องการชุบผิวด้วยสังกะสีไปจุ่มลงในอ่างชุบ (molten zinc bath) ซึ่งบรรจุน้ำสังกะสีอยู่ ในสภาพของเหลวร้อนจัดมีอุณหภูมิขณะใช้งานอยู่ในช่วง 445 ถึง 465 องศาเซลเซียส (830 ถึง 870 องศาฟาเรนไฮต์) สังกะสีจะทำปฎิกริยากับเหล็ก เกิดเป็นชั้นของโลหะผสมเคลือบผิวชิ้นงาน (zinc – iron alloy layers) และเมื่อนำ ชิ้นงานขึ้นจากอ่างชุบสังกะสี และทำให้เย็นตัวลง น้ำสังกะสีก็จะแห้งกลายเป็นผิวเคลือบหุ้มชิ้นงานเอาไว้ และด้วยการค้นคว้าวิจัยในหลายๆ แง่มุม ของกระบวนการผลิตที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ผสานเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้การชุบสังกะสีเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถพัฒนาและควบคุมได้ในทางเทคนิค

  1. การเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า

กระบวนการเคลือบชั้นสังกะสีโดยในกระแสไฟฟ้าเคลือบลงบนแผ่นเหล็กที่เรียบ เมื่อเทียบกับแบบ Hot Dip Galvanized การเคลือบชั้นสังกะสีแบบไฟฟ้าจะมีชั้นเคลือบที่บางกว่า แต่ผิวเหล็กจะสวยและเงางามกว่า ดังนั้น วิธีการเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า หรือ Electrogalvanizing จึงนิยมทำกับแผ่นเหล็กขนาดต่างๆ เช่น แผ่นเหล็กกัลวาไนซ์ขนาด 4×8 ฟุต หรือ 5×8 ฟุต และ ลวดชุบกัลวาไนซ์ขนาดต่างๆ ก็ผลิตจากกระบวนการ Electro Galvanizing

  1. การชุบเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนด้วยกระบวนการต่อเนื่อง

กระบวนเคลือบสังกะสีโดยการนำคอยส์เหล็กม้วนใหญ่จุ่มลงในบ่อชุบสังกะสี หรือ ซิงค์หลอมเหลวด้วยความร้อน 450 องศาเซลเซียส ซึ่งคล้ายกับการจุ่มร้อนที่กล่าวมา แต่เคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนด้วยกระบวนการต่อเนื่อง หรือ continuous hot dip galvanizing คือ การนำม้วนคอยส์เหล็กมาจุ่มลงในบ่อชุบสังกะสีโดยผ่านลูกหมุนคลายม้วนด้วยความเร็วสูงเพื่อให้ผิวเหล็กจุ่มลงในบ่อชุบสังกะสี โดยชั้นเหล็กจะถูกผ่านกระบวนการชุบด้วยความเร็วและในบ่อสังกะสีประมาณ 2 ถึง  4 วินาที ซึ่งกระบวนการผลิตนี้เกิดขึ้นสำเร็จรูปในโรงงานผลิตเหล็กเท่านั้น เมื่อผ่านการผลิตแล้วเหล็กกัลวาไนซ์ชนิดนี้มันจะเรียกกันว่า Pre Galvanizing Steel หรือ (GI) Galvanized

อ่านบทความเกี่ยวกับความรู้วัสดุก่อสร้างต่อ คลิกที่นี่
นายช่างกรุ๊ป ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ราคาไม่แพง พร้อมบริการจัดส่งฟรี ในเขต นนทบุรี และปทุมธานี
ติดต่อซื้อวัสดุก่อสร้าง ง่าย ๆ แอด LINE มาสิ @273oyqga